วันอาทิตย์, ตุลาคม 14, 2561

อนุทินที่ 8


อนุทินที่ 8

1. ใครเป็นผู้ที่สนองพระราชโองการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พุทธศักราช 2546
ตอบ   พันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
           
2. เด็กที่ไม่ปรากฏบิดา มารดาหรือไม่สามารถสืบหาบิดา มารดาได้ หมายถึง
ตอบ เด็กกำพร้า

3. เด็กที่อยู่ในครอบครัวยากจน และได้ความยากลำบาก หมายถึง
ตอบ เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบาก

4. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย สมอง สติปัญญาหรือจิตใจ ไม่ว่าความบกพร่องนั้นจะมีมาแต่กำเนิดหรือเกิดขึ้นภายหลัง หมายถึง
ตอบ เด็กพิการ

5. บุคคลที่รับเด็กไว้อุปการะเลี้ยงดูอย่างบุตร หมายถึง
ตอบ ครอบครัวอุปถัมภ์
                                                                                                                                      6. การไม่ให้การอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนหรือพัฒนาเด็กตามมาตรฐานขั้นต่ำ หมายถึง
ตอบ การเลี้ยงดูเด็กโดยมิชอบ

7. การกระทำหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใดๆ จนเป็นเหตุให้เด็กเสื่อมเสียเสรีภาพ หรือเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจหมายถึง             
ตอบ ทารุณกรรม

8. เด็กที่บิดาหรือมารดาเสียชีวิต เด็กที่ไม่ปรากฏบิดา มารดา เด็กที่ไม่ปรากฏหรือสืบหาบิดามารดาได้
ตอบ  เด็กเร่ร่อน

9. สถานรับเลี้ยงเด็ก เป็นสถานที่รับเลี้ยงและพัฒนาเด็กที่มีอายุ เท่าใด
ตอบ อายุไม่เกินหกปีบริบูรณ์

10. สถานรับเลี้ยงเด็กต้องมีเด็กตั้งแต่จำนวน เท่าใด
ตอบ ตั้งแต่หกคนขึ้นไป
11. สถานที่รับเด็กไว้อุปการะชั่วคราว เพื่อสืบเสาะและพินิจเด็กและครอบครัว หมายถึง
ตอบ สถานแรกรับ

12. สถานสงเคราะห์ เป็นสถานที่การให้อุปการะเลี้ยงดูและพัฒนาเด็ก ที่จำต้องได้รับการสงเคราะห์ ซึ่งมีจำนวนเท่าใด
ตอบ หกคนขึ้นไป

13. สถานที่ให้การศึกษาอบรม ฝึกอาชีพเพื่อแก้ไข ความประพฤติ บำบัด รักษาและพื้นฟูสมรรถภาพทั้งทางด้านร่างการและจิตใจแก่เด็กที่พึงได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพ เป็นสถานที่ใด
ตอบ สถานคุ้มครองสวัสดิภาพ

14. สถานที่ โรงเรียน สถาบัน หรือศูนย์ที่จัดขึ้นเพื่อให้ การบำบัดรักษา การฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจตลอดจนการศึกษาแนะแนวและการฝึกอบรมอาชีพแก่เด็กที่จำต้องได้รับการสงเคราะห์หรือคุ้มครองสวัสดิภาพเป็น  กรณี  พิเศษคือสถานศึกษา ที่ใด
ตอบ สถานพัฒนาและฟื้นฟู

15. ประธานคณะกรรมการคุ้มครองเด็ก คือ
ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

16. ประธานคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด คือ
ตอบ ผู้ว่าราชการจังหวัด

17. คณะกรรมการคุ้มครองเด็กมีทั้งหมด กี่คณะ
ตอบ 3 คณะ คือ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ คณะกรรมการเด็กกรุงเทพมหานครและคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด

18. การปฏิบัติต่อเด็กให้คำนึงถึงสิ่งใด
ตอบ ประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและไม่ให้เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม

19. ผู้ใดจำหน่าย แลกเปลี่ยน หรือให้สุราหรือบุหรี่แก่เด็ก เว้นแต่การปฏิบัติทางการแพทย์ต้องได้รับโทษดังนี้
ตอบ ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งมีโทษตามกฎหมายอื่นที่หนักกว่าก็ให้ลงโทษตามกฎหมายนั้น


20. ผู้ใดพบเห็นเด็กตกอยู่ในสภาพจำต้องได้รับการสงเคราะห์ หรือคุ้มครองสวัสดิภาพ จะต้องดำเนินการให้การช่วยเหลือเบื้องต้น และแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพ อย่างไร
ตอบ แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามมาตรา 24 โดยมิชักช้า

21. เด็กที่พึงได้รับการสงเคราะห์ตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พุทธศักราช 2546 มีกี่ประเภท
ตอบ 8 ประเภท ได้แก่ เด็กเร่ร่อนเด็กที่ถูกทอดทิ้งหรือพลัดหลง ณ ที่ใดที่หนึ่ง เด็กที่ผู้ปกครองไม่สามารถอุปการะเลี้ยงดูได้ด้วยเหตุใด ๆ เด็กที่ผู้ปกครองมีพฤติกรรมหรือประกอบอาชีพที่ไม่เหมาะสม เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยมิชอบ เด็กพิการ เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบากและเด็กที่อยู่ในสภาพที่จำเป็นต้องได้รับการสงเคราะห์ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

22. เด็กเร่ร่อน เด็กกำพร้า เด็กที่ถูกทอดทิ้งพลัดหลง เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบาก มีสิทธิ์ตามข้อใด
ตอบ มาตรา25

23. การสงเคราะห์เด็ก โดยมอบเด็กให้อยู่ในความอุปการะของบุคคลที่เหมาะสม และยินยอมรับเด็กไว้อุปการะเลี้ยงดูตามระยะเวลาใด
ตอบ ปลัดกระทรวงหรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี มีอำนาจกำหนดระยะเวลาในการสงเคราะห์ตาม (4) แต่ถ้ามีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปอาจจะขยายหรือย่นระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้วก็ได้ตามแต่เห็นสมควร

24. เด็กที่พึงได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพ มีกี่ประเภท
ตอบ 3 ประเภท คือ เด็กที่ถูกทารุณกรรม เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิดและเด็กที่อยู่ในสภาพที่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

25. การส่งเด็กไปสถานแรกรับ สถานพัฒนาและฟื้นฟู ระหว่างการสืบเสาะ และพินิจเพื่อหาวิธีการคุ้มครองสวัสดิภาพที่เหมาะสมให้กระทำการ ตามระยะเวลาใด
ตอบ ให้กระทำได้ไม่เกินเจ็ดวัน แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นและสมควรเพื่อประโยชน์ของเด็ก พนักงานเจ้าหน้าที่หรือพนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอต่อศาลตามมาตรา 5 เพื่อมีคำสั่งขยายระยะเวลาออกไปรวมแล้วไม่เกินสามสิบวันก็ได้

26. การส่งเด็กไปสถานแรกรับ สถานพัฒนาและฟื้นฟู ระหว่างการสืบเสาะและพินิจเพื่อหาวิธีการคุ้มครองสวัสดิภาพที่เหมาะสม ให้กระทำการตามระยะเวลาใด
ตอบ ให้กระทำได้ไม่เกินเจ็ดวัน แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นและสมควรเพื่อประโยชน์ของเด็ก พนักงานเจ้าหน้าที่หรือพนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอต่อศาลตามมาตรา 5 เพื่อมีคำสั่งขยายระยะเวลาออกไปรวมแล้วไม่เกินสามสิบวันก็ได้
27. ในกรณีที่ผู้มีอำนาจ สั่งให้ส่งเด็กเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ หากผู้ปกครองไม่เห็นด้วยผู้ปกครองย่อมมีสิทธินำคดีไปสู่ศาลในเขตท้องที่ ตามระยะเวลาใด
ตอบ หนึ่งร้อยยี่สิบวันนับจากวันรับทราบคำสั่ง

28. การแต่งตั้งผู้คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กให้มีระยะเวลา
ตอบ คราวละไม่เกิน 2 ปี

29. เด็กที่พึงได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพ (มาตรา 40) หมายถึง
ตอบ เด็กที่ถูกทารุณกรรม เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิดและเด็กที่อยู่ในสภาพที่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

30. อำนาจหน้าที่ของผู้คุ้มครองเด็ก พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่ามีเหตุสมควรแต่งตั้ง ผู้คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กก็ให้ยื่นคำขอตามมาตรา 48 โดยผู้คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กมีระยะเวลาเท่าใด
ตอบ คราวละไม่เกิน 2 ปี

31. ผู้คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก มีอำนาจหน้าที่ใด ตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 49
ตอบ เยี่ยมเยียนให้คำปรึกษา และแนะนำแก่ผู้ปกครองเกี่ยวกับเรื่องความประพฤติ การศึกษา การประกอบอาชีพแก่เด็กที่อยู่ในการกำกับดูแล การอบรมสั่งสอน การเลี้ยงดูเด็กที่อยู่ในการกำกับดูแลและจัดทำรายงานความเห็นเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของเด็กและผู้ปกครองเพื่อดำเนินการต่อไป

32.ผู้ใดมีอำนาจจัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์สถานคุ้มครองสวัสดิภาพและสถานพัฒนาและฟื้นฟู ได้ทั่วราชอาณาจักร
ตอบ ปลัดกระทรวง

33. ในเขตจังหวัด ต้องขอรับใบอนุญาตต่อผู้ใด
ตอบ ปลัดกระทรวงหรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี

34. โรงเรียน และสถานศึกษาต้องจัดให้มีระบบใดในการส่งเสริมความประพฤตินักเรียน และนักศึกษา
ตอบ ระบบงานและกิจกรรมในการแนะแนวให้คำปรึกษาและฝึกอบรมแก่นักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครอง

35. อำนาจของเจ้าหน้าที่ ในการดำเนินการเพื่อส่งเสริมความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา มีสิทธิตามข้อใด
ตอบ มาตรา 66
36. กองทุนคุ้มครองเด็กตั้งอยู่ที่ใด
ตอบ สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

37. ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนคุ้มครองเด็ก คือใคร
ตอบ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

38. คณะกรรมการติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนมีจำนวนกี่คน
ตอบ ห้าคน

39. ผู้ใดจำหน่ายสุราหรือบุหรี่ให้เด็ก ต้องได้รับการระวางโทษดังนี้
ตอบ จำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

40. ผู้ใดไม่มีใบอนุญาต จัดตั้งสถานรับเลี้ยง สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์ สถานคุ้มครองสวัสดิภาพหรือสถานพัฒนาฟื้นฟู มีโทษดังนี้
ตอบ จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท


วันอังคาร, กันยายน 18, 2561

อนุทินที่ 7



1. หน่วยงานทางการศึกษากับสถานศึกษาในพระราชบัญญัตินี้ จงบอกเหตุผลว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ตอบ หน่วยงานทางการศึกษาต่างกันกับสถานศึกษา เนื่องจากหน่วยงานการศึกษา คือ สถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานการศึกษานอกโรงเรียน แหล่งเรียนรู้ตามประกาศของเขตพื้นที่ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ หรือตามประกาศกระทรวง หรือตามที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากำหนด ส่วนสถานศึกษา คือ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยโรงเรียน ศูนย์การศึกษาพิเศษ ศูนย์การศึกษานอกระบบ และตามอัธยาศัย ศูนย์การเรียนวิทยาลัย วิทยาลัยชุมชน สถาบัน หรือสถานศึกษาอื่นตามกฎหมายการศึกษาแห่งชาติและตามประกาศกระทรวง
2. ตัวย่อ คำว่า ก.ค.ศ และ อ.ก.ค.ศ เขตพื้นที่การศึกษา เขียนคำเต็มคืออะไร ประกอบด้วยใครบ้าง มีหน้าที่สำคัญทำอะไรบ้าง
ตอบ ก.ค.ศ. ย่อมาจากคำว่า คณะกรรมการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 
          ประกอบด้วย
          1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน
          2. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นรองประธาน
          3. กรรมการโดยตำแหน่ง 8 คน คือ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคุรุสภา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
         4. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน
         5. กรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้มาจากการเลือกตั้งจำนวน 12 คน
          หน้าที่สำคัญ
          คือ สำนักนโยบายและวางแผนอัตรากำลัง เสนอแนะให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี พิจารณาวินิจฉัยตีความปัญหา พัฒนาหลักเกณฑ์วิธีการและมาตรฐานการบริหารงานบุคคล กำหนดวิธีเงื่อนไขในการบรรจุแต่งตั้ง ส่งเสริมสนับสนุนการสร้างขวัญกำลังใจยกย่องเชิดชูเกียรติ จัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เกื้อกูลอื่นพิจารณาตั้ง อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาและอนุกรรมการอื่น
       อ.ก.ค.ศ. ย่อมาจากคำว่า คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษา แบ่งเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
          ประกอบด้วย
         1. ประธานอนุกรรมการซึ่งอนุกรรมการเลือกกันเองจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 1 คน
         2. อนุกรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 2 คน
         3. อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 4 คน
         4.  อนุกรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหรือ
มัธยมศึกษา แล้วแต่กรณี จำนวน 3 คน
          หน้าที่สำคัญ
          คือ พิจารณากำหนดนโยบายการบริหารงานบุคคลในเขตพื้นที่การศึกษา พิจารณาให้ความเห็นชอบการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ดำเนินการทางวินัย การออกราชการ การอุทธรณ์และการร้องทุกข์  ส่งเสริม สนับสนุน เสริมสร้างขวัญกำลังใจ และกำกับดูแลติดตามประเมินผล การบริหารงานบุคคล
3. ผู้ที่จะมาประกอบอาชีพรับราชการเป็นข้าราชการครู จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ คุณสมบัติของข้าราชการครู คือ มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบหรือโรคตามที่กำหนดในกฎ ก.ค.ศ. ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการ ไม่เป็นผู้บกพร่องศีลธรรมอันดี ไม่เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ไม่เป็นผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกเว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดจากความประมาทหรือลหุโทษ และไม่เป็นผู้ถูกลงโทษให้ออกปลดออกหรือไล่ออกจากหน่วยงาน
4. โรคที่ต้องห้ามสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพครู มีโรคอะไรบ้าง
ตอบ โรคที่ต้องห้าม ได้แก่ โรคเรื้อนในระยะติดต่อ หรือระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่น่ารังเกียจแก่สังคม วัณโรคในระยะติดต่อ โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคยาเสพติดให้โทษ และโรคพิษสุราเรื้อรัง
5. ตำแหน่งครู ที่มีวิทยฐานะ มีกี่ตำแหน่ง แต่ละตำแหน่งได้เท่าไร ได้รับอย่างไร
ตอบ ตำแหน่งครูที่มีวิทยฐานะมีทั้งหมด 4 ตำแหน่ง แต่ละตำแหน่งได้รับอัตราเงินวิทยฐานะดังนี้
           1. ครูชำนาญการ ได้รับอัตราเงินวิทยฐานะ 3,500 บาท
           2. ครูชำนาญการพิเศษ ได้รับอัตราเงินวิทยฐานะ 5,600 บาท
           3. ครูเเชี่ยวชาญ ได้รับอัตราเงินวิทยฐานะ 9,900 บาท
           4. ครูเชี่ยวชาญพิเศษ ได้รับอัตราเงินวิทยฐานะ 13,000 บาท
6. โทษทางวินัยกฎหมายกำหนดไว้กี่สถาน มีอะไรบ้าง
ตอบ โทษทางวินัยกฎหมายกำหนดไว้ 5 สถาน ได้แก่
           1. ภาคทัณฑ์
           2. ตัดเงินเดือน
           3. ลดขั้นเงินเดือน
           4. ปลดออก
           5. ไล่ออก
7. การบรรจุแต่งตั้งตำแหน่งวิทยฐานะเชี่ยวชาญ มีขั้นตอนดำเนินการอย่างไร
ตอบ กรณีดำเนินการสอบแข่งขันให้บรรจุแต่งตั้งตามลำดับที่ในบัญชีผู้สอบแข่งขันโดยมีรายละเอียดดังนี้
             1. ผู้สมัครสอบต้องมีคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 และมีคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งตามมาตรา 42 
             2. ให้ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือหน่วยงานการศึกษาที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามอบหมายเป็นผู้ดำเนินการสอบแข่งขันได้
             3. หลักสูตร วิธีดำเนินการ เกณฑ์การตัดสิน การขึ้นบัญชี และการยกเลิกบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ ให้เป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด
             4. ก.ค.ศ. อาจกำหนดให้ตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา บางตำแหน่งเป็นสัญญาจ้างปฏิบัติงานรายปีหรือกำหนดเวลาหรือเป็นพนักงานราชการ      
8. หลักในการเลื่อนขั้นเงินเดือน มีอะไรบ้าง
ตอบ หลักในการเลื่อนขั้นเงินเดือนมีดังนี้
            1. ให้ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณา
            2. ให้ใช้ยึดหลักคุณธรรม มีความเที่ยงธรรม เปิดเผย โปร่งใส
            3. ให้พิจารณาจากผลการปฏิบัติงานเป็นหลัก
            4. ให้พิจารณาความประพฤติในการรักษาวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
            5. ให้พิจารณาผลการปฏิบัติงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนเป็นหลัก
            6. หลักเกณฑ์และวิธีการเลื่อนขั้นเงินเดือนให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎ ก.ค.ศ.เมื่อได้ดำเนินตามหลักเกณฑ์และวิธีการแล้วให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 เป็นผู้สั่งเลื่อนขั้นเงินเดือน
9. ข้าราชการครูผู้ใดไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือคับข้องใจเนื่องจากการกระทำของผู้บังคับบัญชาในเขตพื้นที่การศึกษา จะต้องดำเนินการอย่างไร
ตอบ ข้าราชการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือคับข้องใจเนื่องจากการกระทำของผู้บังคับบัญชาในเขตพื้นที่การศึกษา ให้ผู้นั้นมีสิทธิ์ร้องทุกข์ต่ออ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา ที่ก..ค.ศ.ตั้งหรือก.ค.ศ. แล้วแต่กรณี มติของ   ก.ค.ศ. ตามวรรคสอง ไห้เป็นที่สุด (เพิ่มเติมโดยมาตรา 15 พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทาง การศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (มาตรา 123) การร้องทุกข์หากตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ผู้นั้นมีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องคดีต่อศาลปกครองได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีการพิจารณาคดีปกครองเมื่อศาลพิจารณาแล้วก็ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการแก้ไขคำสั่งไปตามนั้น (มาตรา 125)

10. จงบอกเหตุผลในการพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 2547 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ทั้ง 3 ฉบับ
ตอบ เหตุผลในการพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้ง 3 ฉบับเนื่องจากมีการยกเลิกกฎหมายแต่ละฉบับดังนี้
         ฉบับที่ 1 พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูพ.ศ 2523 ที่ใช้อยู่ไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และหลักการปฏิรูประบบราชการเพื่อให้เอกภาพทางด้านนโยบายการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาทั้งหมดจึงมีความจำเป็นต้องตรากฎหมายฉบับนี้ขึ้น
         ฉบับที่ 2 บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษารวมทั้งบทบัญญัติอื่นที่เกี่ยวข้องมีความไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันทำให้งานบริหารงานบุคคลเป็นโดยล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพควรปรับปรุงแก้ไขปัญหาอุปสรรคจึงมีความจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
          ฉบับที่ 3 ได้มีการปรับปรุงเขตพื้นที่การศึกษาเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลยเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพื่อรับผิดชอบงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจำเป็นต้องปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สอดคล้องกับการบริหารงานบุคคลของเขตพื้นที่ทั้งสองจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี่ขึ้น

วันจันทร์, กันยายน 17, 2561

อนุทินที่ 6




แบบฝึกหัด
 บทที่ 5 พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาพ.ศ. 2546
1. ใบอนุญาตวิชาชีพทางการศึกษา มีวิชาชีพใดบ้างจำเป็นต้องมีใบประกอบวิชาชีพ อธิบาย ยกเหตุผล
ตอบ วิชาชีพที่จำเป็นต้องมีใบประกอบวิชาชีพได้แก่ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น เนื่องจากใบอนุญาตประกอบวิชาชีพซึ่งออกให้ผู้ปฏิบัติงานในตำแหน่ง ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ประสบผลสำเร็จ เป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา เป็นกลไกหนึ่งที่จะพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพตามที่รัฐธรรมนูญที่ได้บัญญัติไว้
2. คุรุสภาตามพระราชบัญญัตินี้มีอำนาจหน้าที่อะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ คุรุสภาตามพระราชบัญญัตินี้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
          1. กำหนดมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
          2. ควบคุมความประพฤติและการดำเนินงานของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
          3. ออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพ
          4. พักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต
          5. สนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาวิชาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
          6. ส่งเสริม สนับสนุน ยกย่อง และผดุงเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
          7. รับรองปริญญาประกาศนียบัตรหรือวุฒิบัตรของสถาบันต่าง ๆ ตามมาตรฐานวิชาชีพ
          8. รับรองความรู้และประสบการณ์ทางวิชาชีพรวมทั้งความชำนาญในการประกอบวิชาชีพ
          9. ส่งเสริมการศึกษาและการวิจัยเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ



3. สมาชิกคุรุสภาตามพระราชบัญญัตินี้ประกอบด้วยใครจำนวนเท่าไร จงอธิบาย
ตอบ สมาชิกคุรุสภาตามพระราชบัญญัตินี้ประกอบด้วย
          1. ประธานกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์สูงด้านการศึกษา มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือกฎหมาย
          2. กรรมการโดยตำแหน่งประกอบด้วย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการ
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นจำนวน 8 คน
         3. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและ
ประสบการณ์สูงด้านการบริหารการศึกษา การอาชีวศึกษา การศึกษาพิเศษ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกฎหมายด้านละ 1 คน ซึ่งในจำนวนนี้ต้องเป็นผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นครู ผู้บริหารสถานศึกษา หรือผู้บริหารการศึกษาไม่น้อยกว่า 3 คน
         4. กรรมการ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์หรือการศึกษา
ซึ่งเลือกกันเองจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐจำนวน 3 คน และจากสถาบันอุดมศึกษาเอกชนจำนวน 1 คน
         5. กรรมการ จากผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ซึ่งเลือกตั้งมาจากผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
จำนวน 19 คน
         6. ให้เลขาธิการคุรุสภาเป็นเลขานุการ
4. คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีอำนาจบทบาทหน้าที่อย่างไร จงอธิบาย
ตอบ คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีอำนาจบทบาทหน้าที่ดังต่อไปนี้
        1. พิจารณาการออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาและการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต
        2. กำกับดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
        3. ส่งเสริม พัฒนา และเสนอแนะคณะกรรมการคุรุสภากำหนดมาตรฐานและจรรยาบรรณ
        4. ส่งเสริม ยกย่อง และพัฒนาวิชาชีพไปสู่ความเป็นเลิศในสาขาต่างๆตามที่กำหนด
        5. แต่งตั้งที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการหรือมอบหมายกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ
        6. ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนด
        7. พิจารณาหรือดำเนินการในเรื่องอื่นตามที่รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการคุรุสภามอบหมาย
5. กฎหมายได้บัญญัติไว้ยกเว้นใครบ้างในการประกอบวิชาชีพควบคุม จงอธิบาย
ตอบ การห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพควบคุมนอกจากกรณีใดกรณีหนึ่งดังนี้
        1. ผู้ที่เข้ามาให้ความรู้แก่ผู้เรียนในสถานศึกษาเป็นครั้งเป็นคราวในฐานะวิทยากรพิเศษทางการศึกษา
        2. ผู้ที่ไม่ได้ประกอบวิชาชีพหลักทางด้านการเรียนการสอนในบางครั้งหนึ่งทำหน้าที่สอนด้วยเช่น
ครูภูมิปัญญาท้องถิ่นที่จะสอนวิชาเพลงบอก หนังตะลุง เป็นต้น
        3. นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการฝึกอบรมหรือพูดให้รับใบอนุญาตปฏิบัติการสอน
        4. ผู้ที่จัดการศึกษาตามอัธยาศัยเช่น กลุ่มสนใจอาชีพต่าง ๆ
        5. ผู้ที่ทำหน้าที่สอนในศูนย์การเรียนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542
        6. คณาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาในระดับอุดมศึกษาระดับปริญญาทั้งของรัฐและเอกชน เช่น ตำแหน่งอาจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ หรืออธิการบดี
        7. ผู้บริหารระดับเหนือเขตพื้นที่การศึกษา
        8. บุคคลอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนดเช่นพระภิกษุที่ทำหน้าที่สอนนักบวชในศาสนาอื่น
6. หลักเกณฑ์ในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพกำหนดไว้อย่างไร
ตอบ    1. มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
          2. มีวุฒิปริญญาตรีทางการศึกษา หรือเทียบเท่า หรือมีคุณสมบัติอื่นตามที่คุรุสภารับรอง
          3. ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี
และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนดลักษณะต้องห้าม
         1. เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
         2. เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
         3. เคยต้องโทษจำคุกในคดีที่คุรุสภานะว่ามาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
7. มาตรฐานวิชาชีพของผู้รับใบอนุญาตมีกี่มาตรฐานอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ มาตรฐานวิชาชีพของผู้รับใบอนุญาตมี 3 มาตรฐาน คือ
         1. มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ
         2. มาตรฐานการปฏิบัติงาน
         3. มาตรฐานการปฏิบัติตน
8. ถ้าท่านเป็นผู้รับใบอนุญาตวิชาชีพทางการศึกษาจะมีวิธีการพัฒนาตนเองสู่มาตรฐานวิชาชีพได้อย่างไร อธิบายและยกตัวอย่าง
ตอบ เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดและไม่มีลักษณะต้องห้าม อีกทั้งยังต้องมีความรู้และ
ประสบการณ์วิชาชีพตามที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด เป็นบุุคลที่ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการทำงาน ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ค้นหาคุณค่าของตัวเอง และปฏิบัติอย่างเป็นระบบ ยกตัวอย่างเช่น การสร้างผลงานของตนเองให้มีชื่อเสียง การถ่ายทอดความสามารถพิเศษให้แก่ลูกศิษย์ การเข้าร่วมการประกวดหรือแข่งขันทางการศึกษา
9. บทกำหนดโทษผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ บทกำหนดโทษผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพมีดังนี้
         1. ผู้ใดฝ่าฝืนโดยประกอบวิชาชีพควบคุมคือ วิชาชีพครู วิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา วิชาชีพผู้บริหารการศึกษา และวิชาชีพบุคลากรทางการศึกษาอื่น โดยไม่ได้รับใบอนุญาตในลักษณะเช่นนี้ถือได้ว่าฝ่าฝืนมาตรา 43 จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
         2. ผู้ใดได้กล่าวอ้างว่าหรือแสดงตนว่าเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหรือมีสิทธิ์ขอรับใบอนุญาตทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รับใบอนุญาตจากคุรุสภา และหากสถานศึกษาและผู้ไม่ได้รับใบอนุญาตเข้าประกอบวิชาชีพควบคุมในสถานศึกษาในลักษณะเช่นนี้ถือได้ว่าฝ่าฝืนมาตรา 46 หรือฝ่าฝืนคำสั่งพักใบอนุญาตตามมาตรา 56 จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

10. ผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติวิชาชีพควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาต กฎหมายกำหนดโทษไว้อย่างไรบ้าง
จงอธิบาย
ตอบ ผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติวิชาชีพควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาตมีลักษณะเช่นนี้ถือได้ว่าฝ่าฝืนมาตรา
43 จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 78)

วันอาทิตย์, กันยายน 09, 2561

อนุทินที่ 5



อนุทินที่ 5
          กิจกรรมที่ 1 กาเครื่องหมายถูก (/) หรือกากบาทผิด (x) ลงหน้าข้อที่ถูกต้อง
__x__ 1. การศึกษาภาคบังคับคือ การให้เด็กเข้าเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี
__/__ 2. เกณฑ์บังคับเด็กที่มีอายุย่างเข้าปีที่ 6 จนกระทั่งอายุย่างเข้าปีที่ 16
__/__ 3. บุคคลที่มีหน้าที่ประกาศให้ส่งเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนคือ คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือ
              องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี
__/__ 4. ใบประกาศให้ส่งเด็กเข้าโรงเรียนต้องปิดประกาศไว้ที่สถานศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
              แล้วแต่กรณี
__/__ 5. ผู้มีหน้าที่ส่งเด็กเข้าโรงเรียนคือ บิดามารดาหรือผู้ปกครองที่ทำหน้าที่ดูแลเด็ก
__x__ 6. ผู้ซึ่งมิใช่ผู้ปกครองมีเด็กที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนอาศัยอยู่ด้วยต้องแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาภายใน
              15 วัน
__/__ 7. ผู้ปกครองที่มีเด็กอยู่ในเกณฑ์บังคับไม่ส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
              1,000 บาท
__/__ 8. หน่วยงานอบต.มีหน้าที่ประกาศให้ส่งเด็กเข้าโรงเรียน
__/__ 9. ที่ทำการเทศบาลมิใช่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นจึงไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
__/_ 10. ผู้มีอำนาจผ่อนผันให้เด็กเข้าเรียนก่อนหรือหลังอายุตามเกณฑ์บังคับคือ สถานศึกษา
_x__ 11. ผู้ใดมิใช่ผู้ปกครองมีเด็กซึ่งมิได้เข้าเรียนในสถานศึกษาอาศัยอยู่ด้วยต้องแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่
              การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายใน 2 เดือนนับแต่เด็กมาอาศัยอยู่
__x_ 12. ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
               10,000 บาท

          กิจกรรมที่ 2 จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับไม่ใช่บังคับในกรุงเทพมหานครเพราะเป็นเขตที่เจริญแล้วใช่หรือไม่
เพราะเหตุผลใด
ตอบ ไม่ใช่ เพราะการศึกษาภาคบังคับ เป็นกฎหมายที่มีใช้ทั่วประเทศ ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับ
การศึกษาภาคบังคับ ไม่ว่ากรณีใด หรือเขตพื้นที่ใดก็ต้องปฏิบัติตามเหมือนกันอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม

2. เด็กสมชายเกิดพ. ศ. 2549 เข้าเรียนการศึกษาภาคบังคับในปีการศึกษาใดมีอายุเท่าใด
ตอบ เริ่มเข้าเรียนการศึกษาภาคบังคับในปี พ.ศ. 2555 ด้วยอายุ 6 ปี

3. รายละเอียดของการประกาศส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษามีหลักเกณฑ์อย่างไร
ตอบ ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี ประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาและการจัดสรรโอกาสเข้าศึกษาต่อระหว่างสถานศึกษาที่อยู่ในเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับโดยให้ปิดประกาศไว้ ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษา ฟังรวมทั้งต้องแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ปกครองของเด็กทราบก่อนเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี

4. ผู้ปกครองที่นำเด็กมาอุปการะเลี้ยงดูกฎหมายบังคับให้ผู้ที่เด็กอาศัยอยู่ทำอย่างไร
ตอบ ผู้ใดซึ่งมิใช่ผู้ปกครอง มีเด็กซึ่งไม่ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาอาศัยอยู่ด้วยต้องแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่เด็กมาใสอยู่ เว้นแต่ผู้ปกครองได้อาศัยอยู่ด้วยกับผู้นั้นการแจ้งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด (มาตรา 11)
5. บทลงโทษตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับพ.ศ 2544 กล่าวอย่างไร
ตอบ 1. ลงโทษผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรา๖ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท
        2. ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 9 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท
        3. ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันควรกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เด็กไม่ได้เรียนในสถานศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
        4. ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 11 หรือแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท

          กิจกรรมที่ 3 จงเติมคำลงในช่องว่างให้ถูกต้อง
1. การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางในกระทรวงศึกษาธิการแบ่งออกเป็น 3  ส่วน ได้แก่
          1. ระเบียบบริหารราชการในส่วนกลาง
          2. ระเบียบบริหารราชการเขตพื้นที่การศึกษา
          3. ระเบียบบริหารราชการในสถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาและบัตรระดับปริญญาที่เป็นนิติบุคคล

2. ส่วนราชการที่ทำหน้าที่ประสานงานส่วนต่าง ๆ ในกระทรวงศึกษาธิการคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

3. ส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีคือ สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

4. คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาประกอบด้วย ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพครู ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพการบริหารการศึกษา ผู้แทนสมาคมผู้ปกครองและครูและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม

5. ผู้บังคับบัญชาครูในสถานศึกษาคือ ผู้อำนวยการสถานศึกษา

6. องค์กรบริหารส่วนบุคคลของข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยเรียกโดยย่อว่า สถาบันอุดมศึกษานอกระบบ

7. ถ้าผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษามอบอำนาจให้ผู้ปฏิบัติราชการแทนเรื่องหนึ่งเรื่องใดต้องมอบอำนาจให้ ข้าราชการในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นในเขตพื้นที่การศึกษาที่ตนรับผิดชอบได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษากำหนด
8. เมื่อผู้อำนวยการสถานศึกษาต้องไปราชการในต่างจังหวัดเป็นเวลา 7 วันต้องมอบอำนาจให้ข้าราชการครูใน
สถานศึกษา มอบอำนาจให้ข้าราชการในสถานศึกษาหรือในหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษากำหนด

9. ผู้อำนวยการเขตการศึกษาติดราชการมอบให้รองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาไปเป็นประธานในพิธีเปิดงานสัปดาห์วันสุนทรภู่การมอบงานในกรณีเรียกว่า การปฏิบัติราชการแทน

10. การมอบอำนาจให้ผู้อื่นปฏิบัติราชการแทนตนต้อง กำกับติดตามผลการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจ
และให้ผู้มีอำนาจแนะนำและแก้ไขการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจได้

          กิจกรรมที่ 4 จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. หน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการมีอะไรบ้าง
ตอบ กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานราชการไทยประเภทกระทรวง มีหน้าที่ส่งเสริมการศึกษาให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สร้างความเสมอภาคและโอกาสทางการศึกษา ส่งเสริมให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมทางการศึกษา ส่งเสริมการศึกษาวิชาชีพให้เอกชนมีส่วนร่วมในการศึกษา เน้นให้นิสิตนักศึกษามีโอกาสศึกษาต่อสูงขึ้นทั้งในท้องถิ่นและสถาบันเปิด เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้บริการแก่สังคม พัฒนาบุคลากรทางการศึกษา ส่งเสริมผู้ที่มีความสามารถพิเศษให้ได้เรียนและแสดงออกในทางที่เหมาะสม

2. ส่วนราชการที่มีฐานะเทียบเท่ากรมในกระทรวงศึกษาธิการมีอะไรบ้าง
ตอบ สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา

3. การแบ่งส่วนราชการภายในเขตพื้นที่มีหลักเกณฑ์อย่างไร
ตอบ 1. สอดคล้องกับภารกิจและรองรับการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาจากกระทรวง
ศึกษาธิการ
       2. มีความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการ มีความยืดหยุ่น และพร้อมต่อการปรับเปลี่ยน
       3. มุ่งสัมฤทธิ์ผลตามภารกิจความคุ้มค่า ลดขั้นตอนการบริหาร เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการบริหารจัดการ
      4. คำนึงระดับ ประเภท ปริมาณและคุณภาพสถานศึกษา ผู้รับบริการและความเหมาะสม

4. การแบ่งส่วนราชการในสถานศึกษากำหนดไว้อย่างไร
ตอบ มาตรา 36 ให้สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญา เป็นนิติบุคคลและอาจจะเป็นส่วนราชการหรือเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ยกเว้นสถานศึกษาเฉพาะทางตามมาตรา 21 ให้สถานศึกษาดังกล่าวดำเนินกิจการได้โดยอิสระ สามารถพัฒนาระบบบริหารและการจัดการที่เป็นของตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสภาสถานศึกษา
       มาตรา 45 ให้สถานศึกษาเอกชนจัดการศึกษาได้ทุกระดับและทุกประเภทการศึกษา ตามที่กฎหมายกำหนด โดยรัฐต้องกำหนดนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเอกชนในด้านการศึกษา ให้สถานศึกษาของเอกชนที่จัดการศึกษาระดับปริญญาดำเนินกิจการได้โดยอิสระ สามารถพัฒนาระบบบริหารและการจัดการที่เป็นของตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสภาสถานศึกษา

5. การมอบอำนาจให้บุคคลอื่นปฏิบัติราชการแทนมีหลักเกณฑ์อย่างไร
ตอบ มาตรา 38 อำนาจในการสั่งการอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินการ สิ่งที่ผู้ดำรง
ตำแหน่งใดจะพึงปฏิบัติหรือดำเนินการตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งใด หรือมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องใดร่างกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่ง หนังสือมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นมิได้กำหนดเรื่องการมอบอำนาจไว้เป็นอย่างอื่นหรือมิได้ห้ามเรื่องการมอบอำนาจไว้ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นอาจมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในส่วนราชการเดียวกันหรือส่วนราชการอื่นการมอบอำนาจให้ทำเป็นหนังสือ
       มาตรา 39 เมื่อมีการมอบอำนาจแล้วผู้รับมอบอำนาจมีหน้าที่ต้องรับมอบอำนาจนั้น โดยผู้มอบอำนาจจะ
กำหนดให้ผู้รับมอบอำนาจมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนต่อไป โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการใช้อำนาจนั้นไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้


อนุทินที่ 8

อนุทินที่ 8 1. ใครเป็นผู้ที่สนองพระราชโองการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พุทธศักราช 2546 ตอบ    พันตำรวจโท ทักษิณ   ชินวัตร นายกรัฐม...