1. หน่วยงานทางการศึกษากับสถานศึกษาในพระราชบัญญัตินี้
จงบอกเหตุผลว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ตอบ หน่วยงานทางการศึกษาต่างกันกับสถานศึกษา
เนื่องจากหน่วยงานการศึกษา คือ สถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานการศึกษานอกโรงเรียน
แหล่งเรียนรู้ตามประกาศของเขตพื้นที่ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ
หรือตามประกาศกระทรวง หรือตามที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากำหนด
ส่วนสถานศึกษา คือ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยโรงเรียน ศูนย์การศึกษาพิเศษ ศูนย์การศึกษานอกระบบ
และตามอัธยาศัย ศูนย์การเรียนวิทยาลัย วิทยาลัยชุมชน สถาบัน หรือสถานศึกษาอื่นตามกฎหมายการศึกษาแห่งชาติและตามประกาศกระทรวง
2. ตัวย่อ คำว่า
ก.ค.ศ และ อ.ก.ค.ศ เขตพื้นที่การศึกษา เขียนคำเต็มคืออะไร ประกอบด้วยใครบ้าง
มีหน้าที่สำคัญทำอะไรบ้าง
ตอบ ก.ค.ศ.
ย่อมาจากคำว่า คณะกรรมการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ประกอบด้วย
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เป็นประธาน
2. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
เป็นรองประธาน
3. กรรมการโดยตำแหน่ง 8 คน คือ
เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคุรุสภา
เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
4. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน
5.
กรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้มาจากการเลือกตั้งจำนวน 12 คน
หน้าที่สำคัญ
คือ สำนักนโยบายและวางแผนอัตรากำลัง
เสนอแนะให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี พิจารณาวินิจฉัยตีความปัญหา พัฒนาหลักเกณฑ์วิธีการและมาตรฐานการบริหารงานบุคคล
กำหนดวิธีเงื่อนไขในการบรรจุแต่งตั้ง
ส่งเสริมสนับสนุนการสร้างขวัญกำลังใจยกย่องเชิดชูเกียรติ
จัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เกื้อกูลอื่นพิจารณาตั้ง อ.ก.ค.ศ.
เขตพื้นที่การศึกษาและอนุกรรมการอื่น
อ.ก.ค.ศ. ย่อมาจากคำว่า คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษา
แบ่งเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
ประกอบด้วย
1.
ประธานอนุกรรมการซึ่งอนุกรรมการเลือกกันเองจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 1 คน
2. อนุกรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 2 คน
3. อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 4 คน
4.
อนุกรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหรือ
มัธยมศึกษา แล้วแต่กรณี จำนวน 3
คน
หน้าที่สำคัญ
คือ พิจารณากำหนดนโยบายการบริหารงานบุคคลในเขตพื้นที่การศึกษา
พิจารณาให้ความเห็นชอบการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ดำเนินการทางวินัย การออกราชการ การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ ส่งเสริม สนับสนุน เสริมสร้างขวัญกำลังใจ
และกำกับดูแลติดตามประเมินผล การบริหารงานบุคคล
3.
ผู้ที่จะมาประกอบอาชีพรับราชการเป็นข้าราชการครู จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
จงอธิบาย
ตอบ คุณสมบัติของข้าราชการครู
คือ มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์
เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบหรือโรคตามที่กำหนดในกฎ ก.ค.ศ.
ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการ ไม่เป็นผู้บกพร่องศีลธรรมอันดี
ไม่เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
ไม่เป็นผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกเว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดจากความประมาทหรือลหุโทษ
และไม่เป็นผู้ถูกลงโทษให้ออกปลดออกหรือไล่ออกจากหน่วยงาน
4.
โรคที่ต้องห้ามสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพครู มีโรคอะไรบ้าง
ตอบ โรคที่ต้องห้าม
ได้แก่ โรคเรื้อนในระยะติดต่อ หรือระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่น่ารังเกียจแก่สังคม
วัณโรคในระยะติดต่อ โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม
โรคยาเสพติดให้โทษ และโรคพิษสุราเรื้อรัง
5.
ตำแหน่งครู ที่มีวิทยฐานะ มีกี่ตำแหน่ง แต่ละตำแหน่งได้เท่าไร ได้รับอย่างไร
ตอบ
ตำแหน่งครูที่มีวิทยฐานะมีทั้งหมด 4 ตำแหน่ง
แต่ละตำแหน่งได้รับอัตราเงินวิทยฐานะดังนี้
1. ครูชำนาญการ
ได้รับอัตราเงินวิทยฐานะ 3,500 บาท
2. ครูชำนาญการพิเศษ
ได้รับอัตราเงินวิทยฐานะ 5,600 บาท
3. ครูเเชี่ยวชาญ
ได้รับอัตราเงินวิทยฐานะ 9,900 บาท
4. ครูเชี่ยวชาญพิเศษ
ได้รับอัตราเงินวิทยฐานะ 13,000 บาท
6.
โทษทางวินัยกฎหมายกำหนดไว้กี่สถาน มีอะไรบ้าง
ตอบ
โทษทางวินัยกฎหมายกำหนดไว้ 5 สถาน ได้แก่
1. ภาคทัณฑ์
2. ตัดเงินเดือน
3. ลดขั้นเงินเดือน
4. ปลดออก
5. ไล่ออก
7.
การบรรจุแต่งตั้งตำแหน่งวิทยฐานะเชี่ยวชาญ มีขั้นตอนดำเนินการอย่างไร
ตอบ
กรณีดำเนินการสอบแข่งขันให้บรรจุแต่งตั้งตามลำดับที่ในบัญชีผู้สอบแข่งขันโดยมีรายละเอียดดังนี้
1.
ผู้สมัครสอบต้องมีคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 และมีคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งตามมาตรา
42
2. ให้ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา
หรือหน่วยงานการศึกษาที่ อ.ก.ค.ศ.
เขตพื้นที่การศึกษามอบหมายเป็นผู้ดำเนินการสอบแข่งขันได้
3. หลักสูตร วิธีดำเนินการ
เกณฑ์การตัดสิน การขึ้นบัญชี และการยกเลิกบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ ให้เป็นไปตามที่
ก.ค.ศ. กำหนด
4. ก.ค.ศ.
อาจกำหนดให้ตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
บางตำแหน่งเป็นสัญญาจ้างปฏิบัติงานรายปีหรือกำหนดเวลาหรือเป็นพนักงานราชการ
8.
หลักในการเลื่อนขั้นเงินเดือน มีอะไรบ้าง
ตอบ
หลักในการเลื่อนขั้นเงินเดือนมีดังนี้
1.
ให้ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณา
2. ให้ใช้ยึดหลักคุณธรรม
มีความเที่ยงธรรม เปิดเผย โปร่งใส
3.
ให้พิจารณาจากผลการปฏิบัติงานเป็นหลัก
4. ให้พิจารณาความประพฤติในการรักษาวินัย
คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
5.
ให้พิจารณาผลการปฏิบัติงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนเป็นหลัก
6.
หลักเกณฑ์และวิธีการเลื่อนขั้นเงินเดือนให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎ
ก.ค.ศ.เมื่อได้ดำเนินตามหลักเกณฑ์และวิธีการแล้วให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53
เป็นผู้สั่งเลื่อนขั้นเงินเดือน
9.
ข้าราชการครูผู้ใดไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือคับข้องใจเนื่องจากการกระทำของผู้บังคับบัญชาในเขตพื้นที่การศึกษา
จะต้องดำเนินการอย่างไร
ตอบ
ข้าราชการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือคับข้องใจเนื่องจากการกระทำของผู้บังคับบัญชาในเขตพื้นที่การศึกษา
ให้ผู้นั้นมีสิทธิ์ร้องทุกข์ต่ออ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา
ที่ก..ค.ศ.ตั้งหรือก.ค.ศ. แล้วแต่กรณี มติของ
ก.ค.ศ. ตามวรรคสอง ไห้เป็นที่สุด (เพิ่มเติมโดยมาตรา 15 พ.ร.บ.
ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทาง การศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (มาตรา 123) การร้องทุกข์หากตนไม่ได้รับความเป็นธรรม
ผู้นั้นมีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องคดีต่อศาลปกครองได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีการพิจารณาคดีปกครองเมื่อศาลพิจารณาแล้วก็ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการแก้ไขคำสั่งไปตามนั้น
(มาตรา 125)
10.
จงบอกเหตุผลในการพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 2547
และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553
ทั้ง 3 ฉบับ
ตอบ
เหตุผลในการพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้ง 3
ฉบับเนื่องจากมีการยกเลิกกฎหมายแต่ละฉบับดังนี้
ฉบับที่ 1
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูพ.ศ 2523 ที่ใช้อยู่ไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542
และหลักการปฏิรูประบบราชการเพื่อให้เอกภาพทางด้านนโยบายการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาทั้งหมดจึงมีความจำเป็นต้องตรากฎหมายฉบับนี้ขึ้น
ฉบับที่ 2
บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษารวมทั้งบทบัญญัติอื่นที่เกี่ยวข้องมีความไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันทำให้งานบริหารงานบุคคลเป็นโดยล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพควรปรับปรุงแก้ไขปัญหาอุปสรรคจึงมีความจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
ฉบับที่ 3
ได้มีการปรับปรุงเขตพื้นที่การศึกษาเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลยเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพื่อรับผิดชอบงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจำเป็นต้องปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สอดคล้องกับการบริหารงานบุคคลของเขตพื้นที่ทั้งสองจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี่ขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น