วันอังคาร, กันยายน 18, 2561

อนุทินที่ 7



1. หน่วยงานทางการศึกษากับสถานศึกษาในพระราชบัญญัตินี้ จงบอกเหตุผลว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ตอบ หน่วยงานทางการศึกษาต่างกันกับสถานศึกษา เนื่องจากหน่วยงานการศึกษา คือ สถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานการศึกษานอกโรงเรียน แหล่งเรียนรู้ตามประกาศของเขตพื้นที่ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ หรือตามประกาศกระทรวง หรือตามที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากำหนด ส่วนสถานศึกษา คือ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยโรงเรียน ศูนย์การศึกษาพิเศษ ศูนย์การศึกษานอกระบบ และตามอัธยาศัย ศูนย์การเรียนวิทยาลัย วิทยาลัยชุมชน สถาบัน หรือสถานศึกษาอื่นตามกฎหมายการศึกษาแห่งชาติและตามประกาศกระทรวง
2. ตัวย่อ คำว่า ก.ค.ศ และ อ.ก.ค.ศ เขตพื้นที่การศึกษา เขียนคำเต็มคืออะไร ประกอบด้วยใครบ้าง มีหน้าที่สำคัญทำอะไรบ้าง
ตอบ ก.ค.ศ. ย่อมาจากคำว่า คณะกรรมการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 
          ประกอบด้วย
          1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน
          2. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นรองประธาน
          3. กรรมการโดยตำแหน่ง 8 คน คือ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคุรุสภา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
         4. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน
         5. กรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้มาจากการเลือกตั้งจำนวน 12 คน
          หน้าที่สำคัญ
          คือ สำนักนโยบายและวางแผนอัตรากำลัง เสนอแนะให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี พิจารณาวินิจฉัยตีความปัญหา พัฒนาหลักเกณฑ์วิธีการและมาตรฐานการบริหารงานบุคคล กำหนดวิธีเงื่อนไขในการบรรจุแต่งตั้ง ส่งเสริมสนับสนุนการสร้างขวัญกำลังใจยกย่องเชิดชูเกียรติ จัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เกื้อกูลอื่นพิจารณาตั้ง อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาและอนุกรรมการอื่น
       อ.ก.ค.ศ. ย่อมาจากคำว่า คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษา แบ่งเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
          ประกอบด้วย
         1. ประธานอนุกรรมการซึ่งอนุกรรมการเลือกกันเองจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 1 คน
         2. อนุกรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 2 คน
         3. อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 4 คน
         4.  อนุกรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหรือ
มัธยมศึกษา แล้วแต่กรณี จำนวน 3 คน
          หน้าที่สำคัญ
          คือ พิจารณากำหนดนโยบายการบริหารงานบุคคลในเขตพื้นที่การศึกษา พิจารณาให้ความเห็นชอบการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ดำเนินการทางวินัย การออกราชการ การอุทธรณ์และการร้องทุกข์  ส่งเสริม สนับสนุน เสริมสร้างขวัญกำลังใจ และกำกับดูแลติดตามประเมินผล การบริหารงานบุคคล
3. ผู้ที่จะมาประกอบอาชีพรับราชการเป็นข้าราชการครู จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ คุณสมบัติของข้าราชการครู คือ มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบหรือโรคตามที่กำหนดในกฎ ก.ค.ศ. ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการ ไม่เป็นผู้บกพร่องศีลธรรมอันดี ไม่เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ไม่เป็นผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกเว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดจากความประมาทหรือลหุโทษ และไม่เป็นผู้ถูกลงโทษให้ออกปลดออกหรือไล่ออกจากหน่วยงาน
4. โรคที่ต้องห้ามสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพครู มีโรคอะไรบ้าง
ตอบ โรคที่ต้องห้าม ได้แก่ โรคเรื้อนในระยะติดต่อ หรือระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่น่ารังเกียจแก่สังคม วัณโรคในระยะติดต่อ โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคยาเสพติดให้โทษ และโรคพิษสุราเรื้อรัง
5. ตำแหน่งครู ที่มีวิทยฐานะ มีกี่ตำแหน่ง แต่ละตำแหน่งได้เท่าไร ได้รับอย่างไร
ตอบ ตำแหน่งครูที่มีวิทยฐานะมีทั้งหมด 4 ตำแหน่ง แต่ละตำแหน่งได้รับอัตราเงินวิทยฐานะดังนี้
           1. ครูชำนาญการ ได้รับอัตราเงินวิทยฐานะ 3,500 บาท
           2. ครูชำนาญการพิเศษ ได้รับอัตราเงินวิทยฐานะ 5,600 บาท
           3. ครูเเชี่ยวชาญ ได้รับอัตราเงินวิทยฐานะ 9,900 บาท
           4. ครูเชี่ยวชาญพิเศษ ได้รับอัตราเงินวิทยฐานะ 13,000 บาท
6. โทษทางวินัยกฎหมายกำหนดไว้กี่สถาน มีอะไรบ้าง
ตอบ โทษทางวินัยกฎหมายกำหนดไว้ 5 สถาน ได้แก่
           1. ภาคทัณฑ์
           2. ตัดเงินเดือน
           3. ลดขั้นเงินเดือน
           4. ปลดออก
           5. ไล่ออก
7. การบรรจุแต่งตั้งตำแหน่งวิทยฐานะเชี่ยวชาญ มีขั้นตอนดำเนินการอย่างไร
ตอบ กรณีดำเนินการสอบแข่งขันให้บรรจุแต่งตั้งตามลำดับที่ในบัญชีผู้สอบแข่งขันโดยมีรายละเอียดดังนี้
             1. ผู้สมัครสอบต้องมีคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 และมีคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งตามมาตรา 42 
             2. ให้ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือหน่วยงานการศึกษาที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามอบหมายเป็นผู้ดำเนินการสอบแข่งขันได้
             3. หลักสูตร วิธีดำเนินการ เกณฑ์การตัดสิน การขึ้นบัญชี และการยกเลิกบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ ให้เป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด
             4. ก.ค.ศ. อาจกำหนดให้ตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา บางตำแหน่งเป็นสัญญาจ้างปฏิบัติงานรายปีหรือกำหนดเวลาหรือเป็นพนักงานราชการ      
8. หลักในการเลื่อนขั้นเงินเดือน มีอะไรบ้าง
ตอบ หลักในการเลื่อนขั้นเงินเดือนมีดังนี้
            1. ให้ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณา
            2. ให้ใช้ยึดหลักคุณธรรม มีความเที่ยงธรรม เปิดเผย โปร่งใส
            3. ให้พิจารณาจากผลการปฏิบัติงานเป็นหลัก
            4. ให้พิจารณาความประพฤติในการรักษาวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
            5. ให้พิจารณาผลการปฏิบัติงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนเป็นหลัก
            6. หลักเกณฑ์และวิธีการเลื่อนขั้นเงินเดือนให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎ ก.ค.ศ.เมื่อได้ดำเนินตามหลักเกณฑ์และวิธีการแล้วให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 เป็นผู้สั่งเลื่อนขั้นเงินเดือน
9. ข้าราชการครูผู้ใดไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือคับข้องใจเนื่องจากการกระทำของผู้บังคับบัญชาในเขตพื้นที่การศึกษา จะต้องดำเนินการอย่างไร
ตอบ ข้าราชการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือคับข้องใจเนื่องจากการกระทำของผู้บังคับบัญชาในเขตพื้นที่การศึกษา ให้ผู้นั้นมีสิทธิ์ร้องทุกข์ต่ออ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา ที่ก..ค.ศ.ตั้งหรือก.ค.ศ. แล้วแต่กรณี มติของ   ก.ค.ศ. ตามวรรคสอง ไห้เป็นที่สุด (เพิ่มเติมโดยมาตรา 15 พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทาง การศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (มาตรา 123) การร้องทุกข์หากตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ผู้นั้นมีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องคดีต่อศาลปกครองได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีการพิจารณาคดีปกครองเมื่อศาลพิจารณาแล้วก็ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการแก้ไขคำสั่งไปตามนั้น (มาตรา 125)

10. จงบอกเหตุผลในการพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 2547 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ทั้ง 3 ฉบับ
ตอบ เหตุผลในการพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้ง 3 ฉบับเนื่องจากมีการยกเลิกกฎหมายแต่ละฉบับดังนี้
         ฉบับที่ 1 พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูพ.ศ 2523 ที่ใช้อยู่ไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และหลักการปฏิรูประบบราชการเพื่อให้เอกภาพทางด้านนโยบายการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาทั้งหมดจึงมีความจำเป็นต้องตรากฎหมายฉบับนี้ขึ้น
         ฉบับที่ 2 บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษารวมทั้งบทบัญญัติอื่นที่เกี่ยวข้องมีความไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันทำให้งานบริหารงานบุคคลเป็นโดยล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพควรปรับปรุงแก้ไขปัญหาอุปสรรคจึงมีความจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
          ฉบับที่ 3 ได้มีการปรับปรุงเขตพื้นที่การศึกษาเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลยเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพื่อรับผิดชอบงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจำเป็นต้องปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สอดคล้องกับการบริหารงานบุคคลของเขตพื้นที่ทั้งสองจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี่ขึ้น

วันจันทร์, กันยายน 17, 2561

อนุทินที่ 6




แบบฝึกหัด
 บทที่ 5 พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาพ.ศ. 2546
1. ใบอนุญาตวิชาชีพทางการศึกษา มีวิชาชีพใดบ้างจำเป็นต้องมีใบประกอบวิชาชีพ อธิบาย ยกเหตุผล
ตอบ วิชาชีพที่จำเป็นต้องมีใบประกอบวิชาชีพได้แก่ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น เนื่องจากใบอนุญาตประกอบวิชาชีพซึ่งออกให้ผู้ปฏิบัติงานในตำแหน่ง ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ประสบผลสำเร็จ เป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา เป็นกลไกหนึ่งที่จะพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพตามที่รัฐธรรมนูญที่ได้บัญญัติไว้
2. คุรุสภาตามพระราชบัญญัตินี้มีอำนาจหน้าที่อะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ คุรุสภาตามพระราชบัญญัตินี้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
          1. กำหนดมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
          2. ควบคุมความประพฤติและการดำเนินงานของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
          3. ออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพ
          4. พักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต
          5. สนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาวิชาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
          6. ส่งเสริม สนับสนุน ยกย่อง และผดุงเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
          7. รับรองปริญญาประกาศนียบัตรหรือวุฒิบัตรของสถาบันต่าง ๆ ตามมาตรฐานวิชาชีพ
          8. รับรองความรู้และประสบการณ์ทางวิชาชีพรวมทั้งความชำนาญในการประกอบวิชาชีพ
          9. ส่งเสริมการศึกษาและการวิจัยเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ



3. สมาชิกคุรุสภาตามพระราชบัญญัตินี้ประกอบด้วยใครจำนวนเท่าไร จงอธิบาย
ตอบ สมาชิกคุรุสภาตามพระราชบัญญัตินี้ประกอบด้วย
          1. ประธานกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์สูงด้านการศึกษา มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือกฎหมาย
          2. กรรมการโดยตำแหน่งประกอบด้วย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการ
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นจำนวน 8 คน
         3. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและ
ประสบการณ์สูงด้านการบริหารการศึกษา การอาชีวศึกษา การศึกษาพิเศษ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกฎหมายด้านละ 1 คน ซึ่งในจำนวนนี้ต้องเป็นผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นครู ผู้บริหารสถานศึกษา หรือผู้บริหารการศึกษาไม่น้อยกว่า 3 คน
         4. กรรมการ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์หรือการศึกษา
ซึ่งเลือกกันเองจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐจำนวน 3 คน และจากสถาบันอุดมศึกษาเอกชนจำนวน 1 คน
         5. กรรมการ จากผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ซึ่งเลือกตั้งมาจากผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
จำนวน 19 คน
         6. ให้เลขาธิการคุรุสภาเป็นเลขานุการ
4. คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีอำนาจบทบาทหน้าที่อย่างไร จงอธิบาย
ตอบ คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีอำนาจบทบาทหน้าที่ดังต่อไปนี้
        1. พิจารณาการออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาและการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต
        2. กำกับดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
        3. ส่งเสริม พัฒนา และเสนอแนะคณะกรรมการคุรุสภากำหนดมาตรฐานและจรรยาบรรณ
        4. ส่งเสริม ยกย่อง และพัฒนาวิชาชีพไปสู่ความเป็นเลิศในสาขาต่างๆตามที่กำหนด
        5. แต่งตั้งที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการหรือมอบหมายกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ
        6. ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนด
        7. พิจารณาหรือดำเนินการในเรื่องอื่นตามที่รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการคุรุสภามอบหมาย
5. กฎหมายได้บัญญัติไว้ยกเว้นใครบ้างในการประกอบวิชาชีพควบคุม จงอธิบาย
ตอบ การห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพควบคุมนอกจากกรณีใดกรณีหนึ่งดังนี้
        1. ผู้ที่เข้ามาให้ความรู้แก่ผู้เรียนในสถานศึกษาเป็นครั้งเป็นคราวในฐานะวิทยากรพิเศษทางการศึกษา
        2. ผู้ที่ไม่ได้ประกอบวิชาชีพหลักทางด้านการเรียนการสอนในบางครั้งหนึ่งทำหน้าที่สอนด้วยเช่น
ครูภูมิปัญญาท้องถิ่นที่จะสอนวิชาเพลงบอก หนังตะลุง เป็นต้น
        3. นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการฝึกอบรมหรือพูดให้รับใบอนุญาตปฏิบัติการสอน
        4. ผู้ที่จัดการศึกษาตามอัธยาศัยเช่น กลุ่มสนใจอาชีพต่าง ๆ
        5. ผู้ที่ทำหน้าที่สอนในศูนย์การเรียนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542
        6. คณาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาในระดับอุดมศึกษาระดับปริญญาทั้งของรัฐและเอกชน เช่น ตำแหน่งอาจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ หรืออธิการบดี
        7. ผู้บริหารระดับเหนือเขตพื้นที่การศึกษา
        8. บุคคลอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนดเช่นพระภิกษุที่ทำหน้าที่สอนนักบวชในศาสนาอื่น
6. หลักเกณฑ์ในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพกำหนดไว้อย่างไร
ตอบ    1. มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
          2. มีวุฒิปริญญาตรีทางการศึกษา หรือเทียบเท่า หรือมีคุณสมบัติอื่นตามที่คุรุสภารับรอง
          3. ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี
และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนดลักษณะต้องห้าม
         1. เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
         2. เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
         3. เคยต้องโทษจำคุกในคดีที่คุรุสภานะว่ามาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
7. มาตรฐานวิชาชีพของผู้รับใบอนุญาตมีกี่มาตรฐานอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ มาตรฐานวิชาชีพของผู้รับใบอนุญาตมี 3 มาตรฐาน คือ
         1. มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ
         2. มาตรฐานการปฏิบัติงาน
         3. มาตรฐานการปฏิบัติตน
8. ถ้าท่านเป็นผู้รับใบอนุญาตวิชาชีพทางการศึกษาจะมีวิธีการพัฒนาตนเองสู่มาตรฐานวิชาชีพได้อย่างไร อธิบายและยกตัวอย่าง
ตอบ เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดและไม่มีลักษณะต้องห้าม อีกทั้งยังต้องมีความรู้และ
ประสบการณ์วิชาชีพตามที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด เป็นบุุคลที่ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการทำงาน ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ค้นหาคุณค่าของตัวเอง และปฏิบัติอย่างเป็นระบบ ยกตัวอย่างเช่น การสร้างผลงานของตนเองให้มีชื่อเสียง การถ่ายทอดความสามารถพิเศษให้แก่ลูกศิษย์ การเข้าร่วมการประกวดหรือแข่งขันทางการศึกษา
9. บทกำหนดโทษผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ บทกำหนดโทษผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพมีดังนี้
         1. ผู้ใดฝ่าฝืนโดยประกอบวิชาชีพควบคุมคือ วิชาชีพครู วิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา วิชาชีพผู้บริหารการศึกษา และวิชาชีพบุคลากรทางการศึกษาอื่น โดยไม่ได้รับใบอนุญาตในลักษณะเช่นนี้ถือได้ว่าฝ่าฝืนมาตรา 43 จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
         2. ผู้ใดได้กล่าวอ้างว่าหรือแสดงตนว่าเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหรือมีสิทธิ์ขอรับใบอนุญาตทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รับใบอนุญาตจากคุรุสภา และหากสถานศึกษาและผู้ไม่ได้รับใบอนุญาตเข้าประกอบวิชาชีพควบคุมในสถานศึกษาในลักษณะเช่นนี้ถือได้ว่าฝ่าฝืนมาตรา 46 หรือฝ่าฝืนคำสั่งพักใบอนุญาตตามมาตรา 56 จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

10. ผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติวิชาชีพควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาต กฎหมายกำหนดโทษไว้อย่างไรบ้าง
จงอธิบาย
ตอบ ผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติวิชาชีพควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาตมีลักษณะเช่นนี้ถือได้ว่าฝ่าฝืนมาตรา
43 จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 78)

วันอาทิตย์, กันยายน 09, 2561

อนุทินที่ 5



อนุทินที่ 5
          กิจกรรมที่ 1 กาเครื่องหมายถูก (/) หรือกากบาทผิด (x) ลงหน้าข้อที่ถูกต้อง
__x__ 1. การศึกษาภาคบังคับคือ การให้เด็กเข้าเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี
__/__ 2. เกณฑ์บังคับเด็กที่มีอายุย่างเข้าปีที่ 6 จนกระทั่งอายุย่างเข้าปีที่ 16
__/__ 3. บุคคลที่มีหน้าที่ประกาศให้ส่งเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนคือ คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือ
              องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี
__/__ 4. ใบประกาศให้ส่งเด็กเข้าโรงเรียนต้องปิดประกาศไว้ที่สถานศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
              แล้วแต่กรณี
__/__ 5. ผู้มีหน้าที่ส่งเด็กเข้าโรงเรียนคือ บิดามารดาหรือผู้ปกครองที่ทำหน้าที่ดูแลเด็ก
__x__ 6. ผู้ซึ่งมิใช่ผู้ปกครองมีเด็กที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนอาศัยอยู่ด้วยต้องแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาภายใน
              15 วัน
__/__ 7. ผู้ปกครองที่มีเด็กอยู่ในเกณฑ์บังคับไม่ส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
              1,000 บาท
__/__ 8. หน่วยงานอบต.มีหน้าที่ประกาศให้ส่งเด็กเข้าโรงเรียน
__/__ 9. ที่ทำการเทศบาลมิใช่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นจึงไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
__/_ 10. ผู้มีอำนาจผ่อนผันให้เด็กเข้าเรียนก่อนหรือหลังอายุตามเกณฑ์บังคับคือ สถานศึกษา
_x__ 11. ผู้ใดมิใช่ผู้ปกครองมีเด็กซึ่งมิได้เข้าเรียนในสถานศึกษาอาศัยอยู่ด้วยต้องแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่
              การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายใน 2 เดือนนับแต่เด็กมาอาศัยอยู่
__x_ 12. ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
               10,000 บาท

          กิจกรรมที่ 2 จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับไม่ใช่บังคับในกรุงเทพมหานครเพราะเป็นเขตที่เจริญแล้วใช่หรือไม่
เพราะเหตุผลใด
ตอบ ไม่ใช่ เพราะการศึกษาภาคบังคับ เป็นกฎหมายที่มีใช้ทั่วประเทศ ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับ
การศึกษาภาคบังคับ ไม่ว่ากรณีใด หรือเขตพื้นที่ใดก็ต้องปฏิบัติตามเหมือนกันอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม

2. เด็กสมชายเกิดพ. ศ. 2549 เข้าเรียนการศึกษาภาคบังคับในปีการศึกษาใดมีอายุเท่าใด
ตอบ เริ่มเข้าเรียนการศึกษาภาคบังคับในปี พ.ศ. 2555 ด้วยอายุ 6 ปี

3. รายละเอียดของการประกาศส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษามีหลักเกณฑ์อย่างไร
ตอบ ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี ประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาและการจัดสรรโอกาสเข้าศึกษาต่อระหว่างสถานศึกษาที่อยู่ในเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับโดยให้ปิดประกาศไว้ ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษา ฟังรวมทั้งต้องแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ปกครองของเด็กทราบก่อนเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี

4. ผู้ปกครองที่นำเด็กมาอุปการะเลี้ยงดูกฎหมายบังคับให้ผู้ที่เด็กอาศัยอยู่ทำอย่างไร
ตอบ ผู้ใดซึ่งมิใช่ผู้ปกครอง มีเด็กซึ่งไม่ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาอาศัยอยู่ด้วยต้องแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่เด็กมาใสอยู่ เว้นแต่ผู้ปกครองได้อาศัยอยู่ด้วยกับผู้นั้นการแจ้งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด (มาตรา 11)
5. บทลงโทษตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับพ.ศ 2544 กล่าวอย่างไร
ตอบ 1. ลงโทษผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรา๖ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท
        2. ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 9 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท
        3. ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันควรกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เด็กไม่ได้เรียนในสถานศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
        4. ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 11 หรือแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท

          กิจกรรมที่ 3 จงเติมคำลงในช่องว่างให้ถูกต้อง
1. การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางในกระทรวงศึกษาธิการแบ่งออกเป็น 3  ส่วน ได้แก่
          1. ระเบียบบริหารราชการในส่วนกลาง
          2. ระเบียบบริหารราชการเขตพื้นที่การศึกษา
          3. ระเบียบบริหารราชการในสถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาและบัตรระดับปริญญาที่เป็นนิติบุคคล

2. ส่วนราชการที่ทำหน้าที่ประสานงานส่วนต่าง ๆ ในกระทรวงศึกษาธิการคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

3. ส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีคือ สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

4. คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาประกอบด้วย ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพครู ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพการบริหารการศึกษา ผู้แทนสมาคมผู้ปกครองและครูและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม

5. ผู้บังคับบัญชาครูในสถานศึกษาคือ ผู้อำนวยการสถานศึกษา

6. องค์กรบริหารส่วนบุคคลของข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยเรียกโดยย่อว่า สถาบันอุดมศึกษานอกระบบ

7. ถ้าผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษามอบอำนาจให้ผู้ปฏิบัติราชการแทนเรื่องหนึ่งเรื่องใดต้องมอบอำนาจให้ ข้าราชการในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นในเขตพื้นที่การศึกษาที่ตนรับผิดชอบได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษากำหนด
8. เมื่อผู้อำนวยการสถานศึกษาต้องไปราชการในต่างจังหวัดเป็นเวลา 7 วันต้องมอบอำนาจให้ข้าราชการครูใน
สถานศึกษา มอบอำนาจให้ข้าราชการในสถานศึกษาหรือในหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษากำหนด

9. ผู้อำนวยการเขตการศึกษาติดราชการมอบให้รองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาไปเป็นประธานในพิธีเปิดงานสัปดาห์วันสุนทรภู่การมอบงานในกรณีเรียกว่า การปฏิบัติราชการแทน

10. การมอบอำนาจให้ผู้อื่นปฏิบัติราชการแทนตนต้อง กำกับติดตามผลการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจ
และให้ผู้มีอำนาจแนะนำและแก้ไขการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจได้

          กิจกรรมที่ 4 จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. หน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการมีอะไรบ้าง
ตอบ กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานราชการไทยประเภทกระทรวง มีหน้าที่ส่งเสริมการศึกษาให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สร้างความเสมอภาคและโอกาสทางการศึกษา ส่งเสริมให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมทางการศึกษา ส่งเสริมการศึกษาวิชาชีพให้เอกชนมีส่วนร่วมในการศึกษา เน้นให้นิสิตนักศึกษามีโอกาสศึกษาต่อสูงขึ้นทั้งในท้องถิ่นและสถาบันเปิด เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้บริการแก่สังคม พัฒนาบุคลากรทางการศึกษา ส่งเสริมผู้ที่มีความสามารถพิเศษให้ได้เรียนและแสดงออกในทางที่เหมาะสม

2. ส่วนราชการที่มีฐานะเทียบเท่ากรมในกระทรวงศึกษาธิการมีอะไรบ้าง
ตอบ สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา

3. การแบ่งส่วนราชการภายในเขตพื้นที่มีหลักเกณฑ์อย่างไร
ตอบ 1. สอดคล้องกับภารกิจและรองรับการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาจากกระทรวง
ศึกษาธิการ
       2. มีความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการ มีความยืดหยุ่น และพร้อมต่อการปรับเปลี่ยน
       3. มุ่งสัมฤทธิ์ผลตามภารกิจความคุ้มค่า ลดขั้นตอนการบริหาร เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการบริหารจัดการ
      4. คำนึงระดับ ประเภท ปริมาณและคุณภาพสถานศึกษา ผู้รับบริการและความเหมาะสม

4. การแบ่งส่วนราชการในสถานศึกษากำหนดไว้อย่างไร
ตอบ มาตรา 36 ให้สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญา เป็นนิติบุคคลและอาจจะเป็นส่วนราชการหรือเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ยกเว้นสถานศึกษาเฉพาะทางตามมาตรา 21 ให้สถานศึกษาดังกล่าวดำเนินกิจการได้โดยอิสระ สามารถพัฒนาระบบบริหารและการจัดการที่เป็นของตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสภาสถานศึกษา
       มาตรา 45 ให้สถานศึกษาเอกชนจัดการศึกษาได้ทุกระดับและทุกประเภทการศึกษา ตามที่กฎหมายกำหนด โดยรัฐต้องกำหนดนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเอกชนในด้านการศึกษา ให้สถานศึกษาของเอกชนที่จัดการศึกษาระดับปริญญาดำเนินกิจการได้โดยอิสระ สามารถพัฒนาระบบบริหารและการจัดการที่เป็นของตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสภาสถานศึกษา

5. การมอบอำนาจให้บุคคลอื่นปฏิบัติราชการแทนมีหลักเกณฑ์อย่างไร
ตอบ มาตรา 38 อำนาจในการสั่งการอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินการ สิ่งที่ผู้ดำรง
ตำแหน่งใดจะพึงปฏิบัติหรือดำเนินการตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งใด หรือมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องใดร่างกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่ง หนังสือมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นมิได้กำหนดเรื่องการมอบอำนาจไว้เป็นอย่างอื่นหรือมิได้ห้ามเรื่องการมอบอำนาจไว้ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นอาจมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในส่วนราชการเดียวกันหรือส่วนราชการอื่นการมอบอำนาจให้ทำเป็นหนังสือ
       มาตรา 39 เมื่อมีการมอบอำนาจแล้วผู้รับมอบอำนาจมีหน้าที่ต้องรับมอบอำนาจนั้น โดยผู้มอบอำนาจจะ
กำหนดให้ผู้รับมอบอำนาจมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนต่อไป โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการใช้อำนาจนั้นไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้


อนุทินที่ 8

อนุทินที่ 8 1. ใครเป็นผู้ที่สนองพระราชโองการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พุทธศักราช 2546 ตอบ    พันตำรวจโท ทักษิณ   ชินวัตร นายกรัฐม...